วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

6.ทำสิ่งที่ชอบๆ

1.


ช่วงที่ผ่านมา ผมว่างอยู่หลายวันครับ 


เนื่องมาจากผมลาออกมาจากบริษัทเก่า 
และกำลังรอเข้าไปทำงานกับบริษัทใหม่
ก็เลยใช้เวลาว่างเหล่านั้น
กลับบ้านต่างจังหวัดเพื่อพักผ่อน


ช่วงเวลาที่ผมทำงานอยู่ที่เก่านั้น
เต็มไปด้วยความรู้สึก เบื่อหน่ายและซ้ำซากยิ่งนัก 
เหมือนเป็นการใช้ชีวิตให้หมดหมดไป 
ทีละวัน ทีละวัน นานนับเป็นปี-ปี


หลังจากผมลาออกแล้ว ผมก็มีเวลาว่างช่วงหนึ่ง
ที่จะพักผ่อน เป็นความสุขมากมายสำหรับผม ที่จะได้รู้ว่า 
ตอนเช้าที่ตื่นขึ้นมานั้น ผมจะได้ไม่ต้องไปใช้ชีวิต 
ในแบบที่ผมไม่ชอบนั้นอีก


ตลอดช่วงเวลาที่ “ว่าง”อยู่นั้น 
วันเวลาหมดไปกับ การนอน การอ่านหนังสือ 
ดูทีวี-กดรีโมทเปลี่ยนช่องไปมาทั้งวัน 
เล่นกับแมว   ช่วยงานที่บ้านบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ
ช่วงแรกๆก็มีความสุขดี แต่พอเวลาผ่านไป 
ความเบื่อก็เริ่มเข้ามาปกคลุม
จิตใจจึงเริ่มตั้งคำถาม 


หรือเป็นเพราะว่า 
มนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาให้อยู่อย่างว่างๆ
แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้ถูกสร้างมาให้ทำงาน
ที่ซ้ำซาก เบื่อหน่าย ไร้ความหมาย


แล้วคำตอบระหว่างตรงกลางมันคืออะไร 
เราถูกสร้างมา เพื่อให้ทำงานที่ไม่น่าเบื่อกระนั้นหรือ




2.


วันสองวันที่ผ่านมานี้ ผมได้อ่าน a day ฉบับล่าสุด
พี่โน้ต อุดม ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ เกี่ยวกับการทำในสิ่งที่รัก
มีบางคำพูดที่ผมชอบ พี่โน้ตกล่าวไว้ดังนี้ว่า


 “ทำที่เอ็งชอบๆ นั่นแหละ ชอบแบบไหน
ทำแบบนั้น ผมพูดคำนี้บ่อยมากเลย  ผมว่ามันเป็น
คำบ้านๆ ที่ใช้ได้ผลดีมากกับชีวิตของผมนะ ทำที่ชอบๆ 
ไปที่ชอบๆ กินที่ชอบๆ คนเราจะทำอะไรได้ดีได้ยังไง
ถ้าเราทำอะไรที่เราไม่ชอบ ชีวิตมีแค่นี้เอง (เสียงสูง) 
คุณชอบทำหนังสือ มีคนบังคับให้ไปทำงานซ่อมรถยนต์
ก็มันไม่ชอบ ตื่นเช้ามาก็ไม่อยากจะไปแล้ว
มันจะทำได้ดีได้ยังไงวะ”


“ ในฐานะสิ่งมีชีวิตหนึ่ง เกิดมาทั้งทีเราควรจะได้อยู่
ในที่ที่ชอบ ทำอย่างที่ชอบ จริงอยู่ที่ชีวิตเราเลือกไม่ได้
ขนาดนั้น แหม พี่ใครจะมาเลือกได้ทุกอย่างล่ะ ก็เลือก
ไม่ได้ทุกอย่าง แต่อย่างน้อย ก็ให้กูได้เลือกบ้างดิ
 ถัวเฉลี่ยแล้วก็น่าจะมีอะไรที่ชอบมากกว่าไม่ชอบน่ะ”




ทำที่ชอบๆ...




ผมคิดว่ามันเป็นปรัชญาที่ดูเรียบง่าย  แต่ช่างดูจริงแท้ยิ่งนัก
หรือว่าชีวิตมนุษย์ ถูกสร้างมาเพื่อวัตถุประสงค์แค่นี้เอง


พี่โน้ตได้เล่าให้ฟังเกี่ยวกับการทำเดี่ยวว่า
ไม่คิดว่ามันเป็นการทำงาน เพราะมันคือ
สิ่งที่เค้ารักและหลงใหล  และนอกจากงานหลักแล้ว 
พี่โน้ตก็ยังมีงานอดิเรกที่ชอบทำด้วย
ไม่ว่าจะเป็นงานปั้น งานเพ็นท์รูป 


แม้งานอดิเรกที่ทำอยู่จะไม่ได้เงิน
แถมต้องเสียเงินเยอะ
กับค่าอุปกรณ์อีกต่างหาก
แต่ก็เป็นสิ่งที่พี่โน้ตชอบและรัก  


ผมคิดว่า ถึงแม้ว่างานหลักที่หาเลี้ยงชีพของเรานั้น
จะไม่ใช่งานที่เรารัก แต่เราก็สามารถเอาสิ่งที่เรารัก
มาทำเป็นงานอดิเรกได้ 


ผมคิดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตของเรานะ
คนเราจะรู้สึกมีคุณค่าและมีความหมาย ก็ต่อเมื่อ
ได้ทำในสิ่งเราเกิดมาเพื่อสิ่งนั้น
ใครที่ฝึนใจทำงานที่ไม่ชอบ นานวันเข้า 
พลังชีวิตจะถูกดูดและถูกบั่นทอน


สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ผมเคยอ่านเจอ
คุณบัณฑิต อึ้งรังษี เคยกล่าวไว้เกี่ยวกับวิธีค้นหา
สิ่งที่ตัวเองชอบ ให้สมมุติว่า วันนี้เราเกิดถูกล็อตตาลี่
ได้รับเงินรางวัล 1000 ล้านบาท คือไม่ต้องทำงาน 
ก็มีเงินเหลือใช้ไปตลอดชีวิต คำถามคือเรายังคงทำงาน
อย่างที่ทำในปัจจุบันนี้อยู่รึเปล่า ถ้าไม่?  แล้วจะทำอะไร


เป็นแนวคิดที่ผมชอบมาก  
เพราะมันทำให้เราซื่อสัตย์กับของหัวใจตัวเอง
ทำให้เรารู้ว่าแท้จริงแล้วเราชอบอะไร 
โดยไม่มีเรื่องเงินมาเป็นเงื่อนไข
และผมใช้สิ่งนี้มันสำรวจตรวจสอบตัวเองทุกวัน




3.


ช่วงหลายวันที่ผมนอนดูทีวีอยู่บ้าน 
ได้เห็นข่าวหายนะทั่วโลกเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน
ไม่ว่าเฮลิคอปเตอร์ตกในไทย ก่อการร้ายในนอร์เวย์
และรถไฟชนกันในจีน 


ผมมีความรู้สึกว่า ชีวิตมันไม่มีอะไรมั่นคงและ
แน่นอนเสียเลย ความตายอาจจะมาพรากเราไป
ในเวลาที่เราไม่คาดคิดก็ได้ แล้วถ้าถึงเวลานั้น
เรายังไม่ได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำ
ก็คงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเหลือเกิน


เพราะ ฉ นั้น จงไปทำอะไรที่เราสนุกกับมัน กันเถอะครับ
ไม่แน่นะครับว่า อาจจะทำให้เราได้เข้าใจ
ความรู้สึก ของความเป็นมนุษย์ 
ที่เราทำหล่นหายไป นานแสนนาน...
กลับคืนมา





วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

5.หนังสือ ผ่านพบไม่ผูกพัน





ผมพึ่งอ่านหนังสือเล่มนี้จบเมื่อวานนี้ครับ 
เป็นหนังสือที่ผมตามหาซื้อมาตลอด3ปี แต่หาไม่เคยเจอเลย
 
เป็นหนังสือของอ.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล 
ที่ได้รับการยกย่องว่า ดีที่สุด และ ตกผลึกลึกสุด ของนักเขียนผู้นี้
 
ส่วนตัวผมไม่เคยอ่านหนังสือของอ.เสกสรรค์ มาก่อนซักเล่มเลยครับ
ตั้งใจไว้ว่า น่าจะ่อ่านผลงานที่ดีที่สุดของนักเขียนก่อน ก่อนที่จะลองอ่านเล่มอื่นๆ
นั่นจึงทำให้ผมอดกลั้นใจรอ ที่จะยังไม่อ่านเล่มใดๆ ของอ.เสกสรรค์เลย
จนกว่าจะได้อ่าน "ผ่านพบไม่ผูกพัน" เสียก่อน
 
หนังสือ "ผ่านพบไม่ผูกพัน" ถ่ายทอดความเข้าใจชีวิต
ผ่านทางประสบการณ์ชีวิต อันผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมายของผู้เขียน
โดยมีเนื้อหาที่สะเทือนความรู้สึกนึกคิด และภาษาวรรณกรรมที่สวยงามจับใจ
 
ผมจะขอหยิบยกมาสักประเด็นหนึ่งที่ผมชอบ
นั่นคือ การเดินทางและการอยู่กับปัจจุบันขณะ
อ.เสกสรรค์ กล่าวไว้ดังนี้ครับ
 
"เดินทางอาจเป็นเรื่องสนุกปลุกเร้าความกระหายที่จะใช้ชีวิต
เดินทางอาจเป็นสภาวะอ้างว้างที่หลายคนไม่เคยผ่าน
แต่เชื่อหรือไม่ว่าในเที่ยวเดินทางส่วนใหญ่ สิ่งที่ท่านจะพบมากที่สุดคือ
 
ตัวตนของท่านเอง
 
คนเรา บางทีหากไม่เปลี่ยนเงื่อนไขแวดล้อม
บางด้านของความรู้สึกย่อมไม่สามารถโผล่ผลิออกมา..
คนเรา หากไม่ออกไปเผชิญคลื่นลมในทะเลกว้าง
หรือส้มผัสความเฉียบชันของโตรกผา บางทีก็พานคิดว่า
ดาวเดือนบนเวิ้งฟ้าจะต้องโคจรรอบชีวิตตื้นของตัวเอง...
 
ประเด็นมีอยู่ว่า เหนือบรรยากาศเปลี่ยวเหงาหรือครึกครื้นขึ้นไป
ยังมีแก่นแท้ของการเดินทาง ซึ่งก็คือการพลัดพรากผู้อื่น สิ่งอื่น
 
เพื่อนัดพบกับตัวเอง
 
และความจริงแท้ของชีวิตก็มิใช่อันไดอื่นนอกจากเกิดโดยลำพัง
ตายโดยลำพัง ระหว่างนั้นยังเป็นการเดินทางโดยลำพัง
 
เป็นโอกาสทองที่จะได้มองโลกโดยไม่จำเป็นต้องผูกพัน
และมองตัวเองโดยไม่มีผู้อื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง..
 
หากเป็นการเปิดพื้นที่โล่งให้กับการอยู่กับปัจจุบัน

คนเราส่วนใหญ่ ใช่หรือไม่ว่าทุกข์ร้อนอยู่กับเรื่องเก่า ๆ ที่ผ่านมาเสียกว่าครึ่ง
อีกทั้งกังวลอยู่กับเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นอีกกว่าค่อน
จนแทบไม่เหลือพื้นที่ว่างให้กับห้วงยามความหมายที่ปรากฏขี้นในเบื้องหน้า 
 
การเดินทางจะพาเรากลับมาสู่สิ่งนี้ได้ หากรู้จักซึมซับมัน
 
ยามสางเมื่อเห็นแสงแรกของวันโลมไล้คลื่นเขา
จงเป็นหนึ่งเดียวกับภาพนั้นราวทั่งทั้งพื้นพิภพไม่มีสิ่งอื่นใด
ยามสายเมื่อนอนเหยียดอยู่บนพรมหญ้าริมลำห้วย
ก็อย่าปล่อยให้ภาพรุ่งอรุณตามมาปิดบังแฉกแดด
ที่ผ่านลอดลงมาจากยอดไม้ ครั้นตกค่ำยินหริ่งหรีดเรไร
ก็อย่าได้ฝังใจจำอยู่กับเสียงน้ำไหลที่กล่อมให้หลับตอนกลางวัน
 
ถูกแล้ว ถ้าสามารถเข้าหาห้วงยามเบื้องหน้าเช่นนี้ได้
คุณจะพบว่าดวงตะวันสวยกว่าเดิม ไอห้วยเย็นฉ่ำกว่าที่คิด
สายน้ำมีถ้อยคำจะเอื้อนเ่อ่ย
 
ยามกลับจากท่องเที่ยวเดินทาง--

พลันคุณอาจพบว่า ผู้คนหน้าเดิมและ
สถานที่คุ้นเคยยังมีอะไรหลายอย่างให้คุณค้นหา
และพาตัวเองเข้าไปสัมผัสสัมพันธ์
 
ทั้งนี้เนื่องเพราะพื้นที่ในใจของคุณกว้างใหญ่กว่าเดิม
และคุณจะเข้าหาเขา เธอ หรือสิ่งเหล่านั้นด้วยวิธีเดียวกันกับที่
 
เพ่งมองดวงตะวันโลมไล้แผ่นผา"

.
.
 
บทความนี้นับว่าเป็นการเปิดโลกความคิดของผม
ในเรื่องการอยู่กับตนเองและการอยู่กับปัจจุบัน
 
ยังมีอีกหลายประเด็นในเล่มครับ ที่สั่นสะเทือนควา่มคิดและความรู้สึกของคนอ่าน
เป็นผลึกคิดที่กลั่นกรองมาจากชีวิตโดยนักเขียนคนหนึ่งที่ชื่อ
'เสกสรรค์ ประเสริฐกุล'








วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

4.คอนเฟริมเรื่องงาน

เมื่อวานนี้บริษัทที่ไปสัมภาษณ์มาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว 
เค้าโทรมาคอนเฟริมแล้วครับว่า รับเข้าทำงาน (ไชโย)


กว่าจะหางานได้ ไม่ง่ายเลยครับ โดยเฉพาะในสายงานของผม
(3Danimaion)  มีบริษัทอยู่ไม่กี่แห่งในสายงานนี้ และแต่ละปี
ก็มีคนจบจากมหาลัยในสายงานนี้เพิ่มขึ้นทุกปีๆ เพราะ  ฉ  นั้น
การที่ผมจะสามารถหางานได้นั้น portfolioของผมจะต้อง
โดดเด่นกว่าคนอื่น 


เป็นเวลาร่วมปีครับ ที่ผมพยายามสมัครงานในที่ต่าง ๆ เป็นสิบๆ ที่
บางทีก็เรียกไปสัมภาษณ์ครั้งนึง แล้วก็เงียบหายไป บางที่ก็ไม่เรียกเลย


ผมรู้สึกขอบคุณความล้มเหลวนี้ครับ  ที่ทำให้ผมได้เห็นตัวเองในความเป็นจริงว่า 
แท้จริงแล้วเรายังไม่เก่งพอ ซึ่งทำให้ผมต้องพัฒนาตัวเองมากกว่านี้
ในทางตรงกันข้าม ถ้าความสำเร็จนั้นมาง่าย ๆ ผมก็คงจะหลงตัวเอง
บนความสามารถอันน้อยนิด และชีวิตก็คงไม่พัฒนาไปไหน


ในโลกความเป็นจริงนั้น ความสำเร็จไม่ได้มาง่ายๆ เลยครับ


หลายๆ คนในสังคมที่ประสบความสำเร็จ 
เรามักมองเห็นแต่ความสำเร็จของเค้า
ซึ่งกว่าที่เค้าจะประสบความสำเร็จได้ 
ต้องเจอกับความเหนื่อยยากมากมายอยู่เบื้องหลัง 


ไม่เว้นแม้แต่กับผม


ช่วง1ปีที่ผ่านมา ผมต้องเก็บเงิน ต้องประหยัดอย่างมาก 
เพื่อจะเอาไปลงเรียนเพิ่มเติมในสายงานของผม ซึ่งค่าเรียนแพงมาก
และยังต้องเก็บเงินเพื่อซื้อคอมใหม่ เอาไว้ทำportfolioอีก
ทุก ๆ วันหลังเลิกงาน ผมกลับบ้านมาก็จะนั่งทำพอท
เอาไว้เตรียมสมัครงาน นั่งทำจนดึกดื่นทุกวัน  
ชีวิต1ปีที่ผ่านมา เหนื่อยมากจริง ๆ ครับ


สาเหตุที่ผมได้งานนั้น ไม่ได้เป็นเพราะผมเก่งกว่าคนอื่น
แต่เป็นเพราะว่าผมขยันมากกว่าคนอื่น  
และช่วงที่ผ่านมา การได้พบเจอคนดี ๆ ก็มีส่วนสำคัญ
ผมเชื่อว่าความสำเร็จในชีวิตของคนเรา 
มักมีผู้อื่นมีส่วนร่วมด้วยเสมอ


ขอบคุณหนังสือของคุณบัณฑิต อึ้งรังษี ที่สร้างแรงบันดาลใจอย่างมาก
และช่วยให้กำลังใจวันต่อวัน หนังสือดี ๆ บางเล่ม ก็ช่วยชีวิตเราได้


ขอบคุณคุณพรและเคโกะ สำหรับการสอนที่มีคุณภาพมาก
ขอบคุณเอก และเพื่อนๆ ชาว VA ที่คอยสนับสนุนกันมาตลอด


และ 


ขอบคุณพระเจ้าครับ 
ที่ทรงอยู่เบื้องหลังในทุกสิ่ง

วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

3. หนังเรื่อง Arrietty



วันนี้ไปดูหนังเรื่อง Arrietty มาครับ


จากแหล่งบอกเล่าจากหลายปากว่าเป็นหนังที่ดี
ประกอบกับที่ผมชื่นชอบกับสตูดิโอแห่งนี้อยู่แล้ว 
จึงใช้เวลาไม่นานนักในการตัดสินใจไปดูเรื่องนี้


หนังเป็นเรื่องของ เด็กผู้ชายคนนึงที่ป่วยและมาพักฟื้น
ร่างกายที่บ้านของคุณย่าที่ต่างจังหวัด 
โดยได้พบกับเด็กสาว เผ่าพันธุ์มนุษย์ตัวจิ๋ว
ที่อาศัยหลบซ่อนอยู่ภายใต้ ใต้ถุนบ้าน
จา่กที่ครั้งแรกเด็กสาวตัวจิ๋ว ไม่ค่อยไว้ใจเด็กหนุ่ม
เวลาผ่านไปมิตรภาพเริ่มแน่นแฟ้นขึ้น และเริ่มเป็น
เพื่อนที่ดีต่อกัน


หนังเรียบง่ายครับ ดำเนินไปเรื่อยๆ แต่ที่น่าแปลกใจคือ 
ผมไม่รู้สึกเบื่อกับหนังเรื่องนี้เลย 
กลับรู้สึกสนุกกับมันตลอดทั้งเรื่อง


คงเป็นไปได้ว่า หนังนำพาเราไปให้คิดถึงความรู้สึกในช่วงวัยเด็ก
วัยเด็กที่ชอบจินตนาการสิ่งต่างๆ ได้อย่างไม่จำกัด 
วัยเด็กที่ชีวิตอยู่ในชนบทที่ผูกพันธ์ธรรมชาติ 
หนังได้ทำให้เราคิดถึงสิ่งที่ตกค้างภายในใจมากมาย


การได้สำรวจความรู้สึกในวัยเด็ก
อาจทำให้เราได้รู้ว่า แท้จริงแล้ว ชีวิตเราต้องการอะไรก็ได้ครับ


ผมดูหนังแนวนี้แล้วค่อนข้างอินครับ
สงสัยจะเริ่มแก่แล้วจริง ๆ



วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

2. สัมภาษณ์งาน

วันนี้ไปสัมภาษณ์งานมาที่หนึ่ง
เป็นบริษัทที่อยากเข้าไปทำงานมาก


ที่นี่ทำเกี่ยวกับanimation เค้าก็คุยถึงความฝันเป้าหมาย
ของเค้าที่เืิิ่ริ่มจะทำหนังanimationฉายโรงในปีหน้า
ดูมีการวางแผน และจริงจังมากทีเดียว
เค้าขอเวลาตัดสินใจภายในสัปดาห์นี้ เพื่อคอนเฟิร์มว่า
จะรับผมเข้าทำงานรึเปล่า


ย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่หนังเรื่อง A Bugs Life ฉาย
ผมเคยมีความฝันเล็ก ๆ ว่า อยากทำการ์ตูน3D ที่ได้ฉายโรงแบบนี้บ้าง
แต่ก็นึกไม่ออกเลยว่า จะทำฝันแบบนี้ให้เป็นจริงขึ้นมาได้อย่างไร
พยายามหาลู่ทาง ศึกษา ฝึกฝนมาโดยตลอด


จนได้มาเจอกับเจ้าของบริษัทคนนี้ 
ผมคิดว่าเค้าก็มีจุดเริ่มต้นของความฝันคล้าย ๆ กันกับผมนะ
อายุก็ใกล้ ๆ กันกับผม ได้เห็นจุดเริ่มต้นของงานสายนี้มาด้วยกัน
ได้รู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งแปลกใหม่ในยุคสมัยนั้น และมีความฝันมากมาย 


ฝันบางอย่างมันก็ใหญ่โตเกินกว่าที่จะทำคนเดียวได้ 
จำเป็นที่จะต้องมีูผู้ร่วมทางหลาย ๆ คน
นับตั้งแต่เดินออกจากโรงหนัง ตอนที่ไปดูA Bugs Life 
จนถึงตอนนี้ 


 วินาทีนี้เป็นช่วงเวลาที่เฉียดใกล้ความฝันของผมที่สุดแล้ว


แต่ก็ไม่อยากคาดหวังเยอะเกินไปครับ เผื่อใจไว้บ้าง
จากสถิติของชีวิตสอนว่า คนเรามักพบเจอกับความ
ผิดหวัง มากกว่าความสมหวัง จนบางทีผมก็รู้สึกว่า


ชีวิตของผมถูกกำหนดมาให้พบเจอ แต่ความผิดหวังรึเปล่านะ
จนบางครั้งที่ได้เจอกับความสมหวังบ้าง ก็จะรู้สึกว่านี่เราฝัน
ไปรึเปล่านะ นี่มันเรื่องจริงหรือ


ภายในสัปดาห์นี้ผมก็อยากมีโอกาสพูดประโยคนึง
ที่ไม่ได้พูดบ่อยอีกซักครั้งนึงครับว่า 


"นี่เราฝันไปรึเปล่า"

วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2554

1. Kick Off ไดอารี่ ชี้แจงแถลงไข

สืบเนื่องมาจากผมได้เปิดบล็อกนึงไปไม่นาน ชื่อว่า http://boygointer.exteen.com/ 
เป็นลักษณะบทความและผมตั้งใจเขียนมาก ซึ่งมันเป็นการตีกรอบให้ตัวเองว่า
การเขียนครั้งต่อๆไป ก็ต้องเขียนให้ดีเช่นกัน แต่บางทีผมก็อยากเขียนอะไรสั้น ๆ 
ที่เจอในชีิวิตประจำวันบ้าง มีสาระบ้าง ไม่มีสาระบ้าง   ด้วยเหตุนี้เอง ผมจึงทน
ความอึดอัดใจไม่ไหว เลยต้องสร้างบล็อกนี้แยกขึ้นมาครับ 


บล็อก http://boygointer.exteen.com/ เป็นบล็อกสำหรับบทความของผม
ส่วนบล็อก http://boygo3d.blogspot.com/ เป็นบล็อกสำหรับเขียนไดอารี่ของผม


จึงแจ้งให้ทราบมา ณ โอกาสนี้ครับ


(หมายเหตุ : สำหรับblogspot คนที่สามารถเข้ามาคอมเม็นท์ได้ 
ต้องสมัครสมาชิกgoogleก่อนครับ )